1898 Views |
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคดิจิทัลซึ่งโซเชียล มีผลต่อการดำเนินธุรกิจทั้งในแง่ของ การสร้างการเติบโต แต่ขณะเดียวกัน อาจถูกดิสรัปชั่นได้หากไม่มีการปรับตัว เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป
กิตติพงศ์ กิตติถาวรกุล กรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท แบ็คยาร์ด เปิดเผยถึงผลการศึกษาพฤติกรรมผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์บนโลกโซเชียลว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ทั้งแนวราบและสูงได้มีการพูดถึงและค้นหาในปีนี้เพิ่มขึ้นราว 31.77% หรือกว่า 1.09 แสนครั้ง จากปี 2560 อยู่ที่กว่า 8.3 หมื่นครั้ง โดยคอนโดมิเนียมเป็นตลาดที่ต้องจับตามอง เพราะมีสัดส่วนการพูดถึงมากสุดถึง 82.83%
ทั้งนี้ เทรนด์ของคอนโดประเภท 1 ห้องนอน มีการเติบโตมากที่สุดที่ 39.35% ขณะที่คอนโดแนวโลว์ไรส์และไฮไรส์มีการพูดถึงเพิ่มมากถึง 50.37% และ 49.63% ตามลำดับ
ขณะที่ความสนใจที่อยู่อาศัยที่หรูหราและมีระดับ ทั้งนี้จะเห็นเทรนด์สปามีความเด่นชัดอย่างมากในการใช้ตกแต่งและออกแบบคอนโด การให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลาง รวมทั้งเรื่องความสะดวกการเดินทางใกล้รถไฟฟ้า ยังคงเป็นประเด็นที่โลกออนไลน์พูดถึงต่อเนื่อง
ด้านทำเลที่ตั้งของคอนโดที่เติบโตเฉลี่ย 42% พบว่าในย่านใจกลางเมืองธุรกิจ (ซีบีดี) เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนอันดับที่ 2 และ 3 คือย่านชุมชนเมืองและวงแหวนรอบนอกตะวันออก อย่างไรก็ดีพบว่าย่านพระราม 9 รัชดา มีการพูดถึงด้วยสัดส่วนเพิ่มขึ้น 8.66% จากปีที่แล้ว และปีนี้มีอัตราการเติบโตบนออนไลน์ 88.20%
ในส่วนของย่านตากสิน ธนบุรี พูดถึงด้วยสัดส่วน 4.44% ซึ่งเติบโตน้อยลงที่ 6.80% ในส่วนวงแหวนรอบนอกตะวันตก พบว่าย่านพระราม 2 บางขุนเทียน ถูกพูดถึงด้วยสัดส่วน 1.47% ซึ่งเติบโตมากขึ้นถึง 121.49%
อย่างไรก็ดี ตลาดคอนโดในปี 2562 ยังเติบโตได้ทั้งการปล่อยเช่าและขาย ขณะที่ทำเลการลงทุนจะมีการขยายไปยังแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ ที่จะแล้วเสร็จเพิ่มขึ้น มองว่าตลาดโตได้ในทุกเซ็กเมนต์ โดยจะเห็นการทำตลาดด้วยโปรโมชั่นเกี่ยวกับพร้อมอยู่มากขึ้น
อธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯ โดยรวมทั้งประเทศ ไม่ว่าจะเป็นแนวราบและสูงในปี 2562 คาดว่าจะโตไม่เกิน 10% โดยจะมีซัพพลายในตลาดประมาณ 2.3 แสนหน่วย เนื่องจากมีสินค้าสต๊อกคงเหลือขายราว 1 แสนหน่วย ซัพพลายเปิดใหม่จะอยู่ที่ราว 1.2 แสนหน่วย หรือโตขึ้นราว 5%
สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อธุรกิจอสังหาฯ ในปีหน้านั้น สิ่งที่จะต้องติดตามคือ หากเศรษฐกิจโดยรวมที่คาดว่าจีดีพีจะต่ำกว่า 4% จะส่งผลต่อความเชื่อมั่น การลงทุน และกำลังซื้อโตลดลง โดยเฉพาะในตลาดภูมิภาค
นอกจากนี้ เรื่องอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับขึ้น ซึ่งภาครัฐต้องพิจารณาอย่าง เหมาะสม เพราะหากไม่ปรับก็จะทำให้ เงินไหลออก แต่หากปรับมากก็จะเป็นภาระผู้ซื้อบ้าน จึงคาดว่าจะปรับไม่เกิน 0.50% และยังมีเรื่องเศรษฐกิจโลก สงครามการค้าจากมหาอำนาจที่มีแนวโน้มความรุนแรง
นอกจากนี้ กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งหลักเกณฑ์ของแบงก์ชาติจะทำให้มีการเร่งระบายสต๊อกและบ้านมือสองออกขายอย่างมาก
ที่มา: โพสต์ทูเดย์ – 23 พฤศจิกายน 2561